วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2561

เทคนิคการเลี้ยงร็อตไวเลอร์

                          เทคนิคการเลี้ยงร็อตไวเลอร์


ขึ้นชื่อว่าเป็นพันธุ์ร็อตไวเลอร์ (Rottweiler) หลายๆ บ้านที่ได้ฟังอาจจะไม่ให้ความนิยมว่าเป็นสัตว์เลี้ยงที่สวยงามนัก แต่ความเป็นจริง ร็อตไวเลอร์เป็นสุนัขที่มีโครงสร้างและกล้ามเนื้อสวยงาม และหากได้รู้จักนิสัยใจคอที่แท้จริงของสุนัขพันธุ์นี้แล้ว อาจจะจัดอยู่ในกลุ่มสุนัขที่มีความฉลาดเฉลียว ฝึกอบรมได้ง่าย และมีความจงรักภักดีกับเจ้าของมากที่สุด
เพราะความพิเศษของเจ้าสุนัขพันธุ์นี้ในด้านของความจงรักภักดีกับเจ้าของ ผนวกไปถึงเรื่องของความขี้สงสัยและความอยากรู้อยากเห็นที่มีอยู่ในตัว ทำให้ดูเหมือนจะเป็นสุนัขที่ไม่อยู่นิ่ง ยิ่งด้วยใบหน้าที่ดูทะมึนด้วยแล้ว ยิ่งสร้างความรู้สึกให้ผู้เห็นเกรงขามและไม่กล้าเข้าใกล้
แต่เมื่อได้พูดคุยกับเจ้าของฟาร์มธารารัตน์ ซึ่งการันตีให้ฟังว่า สุนัขสายพันธุ์ร็อตไวเลอร์นี้ เป็นสุนัขที่สามารถฝึกได้ และไม่ใช่สุนัขดุอย่างที่
คุณธารา เลี้ยงอำนวย
คุณธารา เลี้ยงอำนวย
คุณธารา เลี้ยงอำนวย เด็กหนุ่มวัย 26 ปี ก้าวเข้ามาเป็นเจ้าของฟาร์มสุนัขร็อตไวเลอร์ ตั้งแต่ 6 ปีที่แล้ว
คุณธารา เล่าให้ฟังว่า ชอบสุนัขมาตั้งแต่เด็ก คุณตาและคุณยายเลี้ยงสุนัขก็ช่วยเลี้ยง เริ่มแรกก็ชอบทุกสายพันธุ์ แต่เมื่อได้รู้จักสายพันธุ์ร็อตไวเลอร์ ก็รู้สึกว่าใช่ เพราะเห็นความสง่างาม รูปลักษณ์บึกบึน มีความซื่อสัตย์ จงรักภักดี น่าเกรงขาม จึงมีความคิดจะซื้อพ่อแม่พันธุ์ร็อตไวเลอร์มาเพาะขาย แต่ด้วยความเป็นเด็ก อายุยังไม่ถึง 20 ปี ครอบครัวจึงไม่อนุญาต กระทั่งคุณธารา เข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี จึงเริ่มเก็บเงินอย่างจริงจัง และตัดสินใจซื้อแม่พันธุ์จากฟาร์มที่มีชื่อเสียงในพื้นที่จังหวัดนครปฐม และโชคดีที่เจ้าของฟาร์ม ถ่ายทอดความรู้ในการเลี้ยงสุนัขพันธุ์ให้อย่างหมดเปลือก ทั้งยังให้โอกาสผสมพ่อพันธุ์ โดยไม่คิดราคา
เทคโนโลยีชาวบ้าน ถามถึงข้อข้องใจ เมื่อสุนัขพันธุ์ร็อตไวเลอร์ตกเป็นข่าวกัดเด็กบ่อยครั้ง คุณธารา ให้ความเห็นในมุมของผู้เลี้ยงว่า น่าจะเกิดจากการเลี้ยงดูที่ผิด เพราะสุนัขทุกตัวนิสัยไม่เหมือนกัน และโดยนิสัยปกติทั่วไปของพันธุ์ร็อตไวเลอร์แล้ว เป็นสุนัขที่ไม่ชอบการบังคับ การกดดัน การกักขัง นิสัยคล้ายเด็ก ชอบการตามใจ ชอบเข้าสังคม ร่าเริง แต่ด้วยมุมมองของผู้เลี้ยงที่ไม่เข้าใจสุนัขพันธุ์นี้จริง คิดว่าดุ จึงเลี้ยงโดยแยกออกจากสังคม เมื่อสุนัขไม่เคยเข้าสังคม ไม่เคยพบคนอื่นนอกจากคนในบ้าน ทำให้กลายเป็นสุนัขที่มีโลกส่วนตัวสูง ไม่สนใจใคร และดุในที่สุด ส่วนกรณีที่กัดเด็ก เมื่อมีความกดดันหลายอย่างก่อนหน้านี้แล้ว และสุนัขมองเด็กเสมือนของเล่น แต่ด้วยวิธีการเล่นที่แรงเกินไป นอกจากนี้ เสียงเด็กยังอยู่โทนเสียงแหลมเล็ก ซึ่งเป็นเสียงที่สุนัขไม่ชอบ อาจจะรบกวนโสตประสาท ทำให้มีโอกาสเกิดเหตุที่ไม่คาดคิดได้
อยากบอกให้คนที่คิดอยากเลี้ยงสุนัขพันธุ์ร็อตไวเลอร์ ควรเริ่มต้นจากการไม่อคติกับสุนัขพันธุ์นี้ก่อน จากนั้นศึกษานิสัยของเขา และเลี้ยงดูโดยไม่กดดัน กักขัง หรือบังคับ ให้สุนัขมีสังคม รู้จักกับคนในบ้านและนอกบ้าน ร็อตไวเลอร์ก็เหมือนสัตว์เลี้ยงอื่นที่น่ารัก และสามารถอยู่รวมกับคนในบ้านได้”
6
คุณธารา เล่าว่า ร็อตไวเลอร์เป็นสุนัขที่มีความเป็นจ่าฝูง หากต้องการเลี้ยงหลายตัว ควรเลี้ยงมาพร้อมๆ กันตั้งแต่เด็ก แต่ถ้าไม่ได้เลี้ยงด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ควรให้อายุห่างประมาณ 4-5 ปี เพราะเมื่อสุนัขที่เคยเลี้ยงไว้เริ่มแก่ สุนัขเด็กที่เข้ามาใหม่ก็จะโตเต็มวัย โอกาสที่จะเกิดการกระทบกระทั่งกันค่อนข้างน้อย แต่หากวัยเดียวกัน ไม่ได้เลี้ยงมาด้วยกัน เมื่อนำมารวมฝูงจะแย่งกันเป็นจ่าฝูง เกิดการกระทบกระทั่งกัน ไม่ยอมกัน สุดท้ายก็กัดกัน เกิดปัญหาอื่นตามมา
เมื่อถามถึงสภาพอากาศที่เหมาะสม เพราะร็อตไวเลอร์เป็นสุนัขที่มีถิ่นกำเนิดจากประเทศ  เยอรมนี แต่เมื่อนำเข้ามาเลี้ยงในประเทศไทย ซึ่งสภาพอากาศร้อนชื้น ก็ควรให้อยู่ในพื้นที่ที่อากาศปลอดโปร่ง อากาศถ่ายเท ไม่จำเป็นต้องอยู่ห้องปรับอากาศหรือพัดลม และด้วยร็อตไวเลอร์เป็นสุนัขที่มีพลังงานในตัวสูง จำเป็นต้องออกกำลังกายสม่ำเสมอ เมื่อต้องออกกำลังกาย จึงควรช่วยเรื่องช่วงเวลาการออกกำลังกาย โดยเลี่ยงพาไปออกกำลังกายในช่วงเช้ามืด หรือพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว หรือในกรณีที่จะให้ร็อตไวเลอร์นั่งตากแดด สามารถทำได้ แต่ต้องผ่านการปรับสภาพอากาศมาก่อนหน้าแล้ว
สุนัขที่นี่ให้อยู่สภาพอากาศปกติ ยกเว้นลูกสุนัข ที่ยังจำเป็นต้องอยู่ห้องปรับอากาศ”
สำหรับการออกกำลังกายจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับร็อตไวเลอร์ เพราะจัดอยู่ในกลุ่มสุนัขใช้งาน พลังงานสูง การออกกำลังกายในแต่ละวัน ควรวิ่งอย่างน้อย 5-10 นาทีเท่านั้น หรือระยะทางอย่างน้อย 1 กิโลเมตร หรือจะให้สุนัขเดินก็ทำได้เช่นกัน แต่ถ้าให้แนะนำ คุณธาราอยากแนะนำให้พาไปว่ายน้ำ เป็นการออกกำลังกายที่ดีที่สุด
แหล่งที่มา https://www.technologychaoban.com

ศึกษาสุนัขพันธุ์บางเเก้วก่อนนำมาเลี้ยง

                 ศึกษาสุนัขพันธุ์บางเเก้วก่อนนำมาเลี้ยง

สุนัขบางแก้วCover

ประเด็นหลัก

• บางแก้วเป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์สุนัขที่นิยมเลี้ยงอย่างมากในเหล่าคนรักสุนัข ลักษณะเด่นของสุนัขพันธุ์นี้ คือ รักและหวงเจ้าของ รวมถึงที่อยู่ สิ่งของ เพื่อปกป้องรักษาสิ่งอันเป็นที่รักตัวเอง หากใครยังไม่เคยได้สัมผัส หรือเลี้ยงสุนัขบางแก้วมาก่อน ควรจะศึกษาข้อมูลพวกเขาให้ดีก่อนนำมาเลี้ยงด้วยนะคะ

บางแก้ว เป็นสุนัขสายพันธุ์หนึ่งที่นิยมเลี้ยงอย่างมากในเหล่าคนรักสุนัข ลักษณะเด่นของสุนัขพันธุ์นี้ก็คือ รักและหวงเจ้าของ รวมถึงที่อยู่ สิ่งของ เพื่อปกป้องรักษาสิ่งของอันเป็นที่รักตัวเอง ซึ่งเรียกได้ว่าเลี้ยงไว้เฝ้าบ้านนี่โจรกลัวเลยล่ะค่ะ แต่เขาก็เป็นสัตว์ที่มีความจงรักภักดี น่ารัก แสนรู้ ฉลาด หากใครยังไม่เคยได้สัมผัส หรือเลี้ยงสุนัขบางแก้วมาก่อน คุณควรจะศึกษาข้อมูลเพื่อเป็นการเตรียมรับมือก่อนการตัดสินใจนำมาเลี้ยงนั่นเองค่ะ
สุนัขบางแก้ว1

1. ดุ และหวงทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองรัก

ถึงแม้ว่าสุนัขบางแก้วจะเป็นน้องหมาไทยที่ขึ้นชื่อเรื่องความดุ แต่จริงๆ แล้วที่เขาดุก็เป็นเพราะนิสัยหวงของนั่นเอง แถมยังเป็นสุนัขที่มีพลังเยอะมาก ได้รับสายเลือดนักล่ามาอย่างเต็มเปี่ยม มีความจงรักภักดีมาก ยอมพลีกายเพื่อปกป้องเจ้านายของมันให้ปลอดภัยโดยไม่สนใจว่าตัวเองจะบาดเจ็บแค่ไหน ด้วยเหตุนี้บางแก้วจึงมีนิสัยห่วงสิ่งที่มันรัก รวมถึงได้ความนิยมให้ทำหน้าที่เฝ้าบ้าน เฝ้าสวน เพราะเขาคือสุดยอดยามอารักขาสายพันธุ์ไทยที่น่าเกรงขามนั่นเองค่ะ
สุนัขบางแก้ว2

2. ร่าเริง ซุกซน และอยากรู้อยากเห็นไปหมด

อีกด้านหนึ่งของน้องหมาบางแก้วก็คงจะเป็นความน่ารัก ร่าเริง ซุกซน ชอบกัดแทะข้าวของ ซึ่งนั่นเป็นเพราะนิสัยของมันที่มีความอยากรู้อยากเห็น แต่หากคนเลี้ยงยังไม่มีความเข้าใจ และยอมรับนิสัยของมันไม่ได้ เมื่อเขาทำความผิดแล้วเราลงโทษในทันทีโดยไม่บอกสาเหตุ ก็อาจทำให้สุนัขรู้สึกหวาดระแวง และอาจแสดงอาการที่ไม่น่ารักให้คุณเห็นได้ โดยสัญชาตญาณการป้องกันตัวของมันนั่นเอง ดังนั้นหากคุณพบว่าเจ้าสุนัขบางแก้วแสนรักเพิ่งจะพังทลายข้าวของในบ้านเพียงเพราะความสงสัย ก็ให้ดุเขาอย่างมีเหตุผล ใจเย็น แล้วค่อยๆ บอกเขาว่าสิ่งนี้ทำแล้วผิด ห้ามทำอีกเป็นอันขาด

สุนัขบางแก้ว3

3. มีความฉลาดเป็นกรด

สำหรับความฉลาดของบางแก้วต้องยกนิ้วให้เลยค่ะ เพราะมันมีความจำที่เป็นเลิศ แถมยังเป็นสุนัขที่เจ้าคิดเจ้าแค้นเอาซะด้วย ถ้าหากมีใครมาแกล้งหรือตี เขาจะจำได้อย่างขึ้นใจเลยค่ะว่าใครเคยตีเขา ดังนั้น หากเราจะทำโทษเมื่อเขาทำผิด ก็ไม่ควรทำร้ายเขาด้วยวิธีการที่รุนแรงนะคะ เพราะถ้าเขาเห็นใครถือไม้เขาจะไม่ชอบ และทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้าน ทั้งขู่และก้าวร้าวขึ้นมาทันที เนื่องจากเรื่องการทำโทษถือเป็นเรื่องที่อ่อนไหวทางอารมณ์อย่างมากสำหรับเจ้าหมาพันธุ์นี้
วิธีแก้เรื่องการทำโทษ สามารถทำได้โดยใช้น้ำเสียงที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เล่นกับเขา แล้วดุเมื่อเขาเริ่มทำผิด แต่เมื่อเขาทำดี หรือเชื่อฟังสิ่งที่เราบอก เราควรพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล อ่อนโยน หรือให้รางวัล เพื่อเป็นการบอกว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นสิ่งที่ดี ถูกต้อง พึงกระทำ เขาจะสามารถแยกแยะและรับรู้ถึงลักษณะน้ำเสียงที่เจ้าของแสดงออกมาได้นั่นเองค่ะ
สุนัขบางแก้ว4

4. ขี้อิจฉา

เรียกได้ว่าเป็นสายพันธุ์สุนัขที่ขี้อิจฉา ชอบเรียกร้องความสนใจ ยิ่งถ้าคุณเลี้ยงบางแก้วหลายๆ ตัวแล้วล่ะก็ คุณจะต้องแสดงความรัก และการดูแลเอาใจใส่ทุกตัวให้เท่าๆ กันด้วยนะคะ อย่าแสดงออกกับสุนัขตัวใดตัวหนึ่งเป็นพิเศษเด็ดขาด เพราะสุนัขพันธุ์บางแก้วเขาฉลาด สามารถรับรู้ได้ถึงความรักที่คุณมีให้ต่อเขา ถ้าคุณเผลอไปแสดงความลำเอียงเอาใจใส่ตัวใดตัวหนึ่งเป็นพิเศษ เชื่อว่าตัวอื่นๆ ก็จะต้องพยายามแสดงพฤติกรรมแปลกๆ หรืออาจจะส่งเสียงร้องเรียกความสนใจจากคุณเช่นกันค่ะ
สุนัขบางแก้ว5

5. กัดกันเองเพื่อแย่งชิงความเป็นจ่าฝูง

ถ้าหากคุณซึ่งเป็นเจ้าของ และยังไม่มีความเป็นผู้นำมากพอ แน่นอนว่าเขาจะไม่มองว่าคุณเป็นผู้นำ และไม่ค่อยเชื่อฟังคุณอย่างแน่นอน แต่เขาจะคิดว่าตัวเขานั่นแหละคือผู้นำของคุณ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นมันก็คงไม่ดีสักเท่าไหร่ใช่ไหมคะ เพราะปัญหาที่ตามมานั่นก็คือ การแย่งชิงความเป็นผู้นำในจ่าฝูง บางครั้งอาจจะกัดกันแทบเป็นแทบตายหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ยอมแพ้ เพราะฉะนั้นคุณจะต้องมีวิธีการห้ามปราม และควบคุมพฤติกรรมเหล่านี้ ต้องรู้จักวิธีแยกน้องหมาออกจากกันก่อนที่จะเลยเถิดจนเกิดความรุนแรงขึ้น ด้วยเหตุนี้เอง ผู้เลี้ยงจึงจำเป็นต้องแสดงอำนาจ ความสุขุมมั่นคงทางอารมณ์ รวมทั้งความเป็นจ่าฝูงให้พวกเขายอมรับด้วยนะคะ เพื่อลดปัญหาความรุนแรงของน้องหมาภายในบ้านเราเอง
นี่ก็คือลักษณะนิสัยโดยทั่วไปของสุนัขบางแก้วที่เรานำมาให้เพื่อนๆ ได้ทำความเข้าใจก่อนที่จะตัดสินใจรับเจ้าพวกสี่ขาเหล่านี้มาเลี้ยง ถ้าพูดถึงความยากง่ายในการเลี้ยงแล้วล่ะก็ เชื่อว่าสุนัขสายพันธุ์อื่นๆ เขาก็จะมีลักษณะนิสัย และวิธีการเลี้ยงที่แตกต่างกันไปเช่นกันค่ะ บางทีการเลี้ยงสุนัขสักตัวอาจจะขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของผู้เลี้ยงเองมากกว่า และที่สำคัญต้องดูความพร้อมของคนเลี้ยงเองเป็นดีที่สุดด้วยนะคะ
แหล่งที่มา https://www.petcitiz.info/ศึกษานิสัยสุนัขบางแก้ว/

วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2561

ที่มาของความเชื่องในการเลี้ยงสุนัข

                    ที่มาของความเชื่องในการเลี้ยงสุนัข

วิวัฒนาการด้านโมเลกุลของหมาชี้ให้เห็นว่าหมาเลี้ยงนั้น (Canis lupus familiaris) สืบทอดมาจากจำนวนประชากรหมาป่า (Canis lupus) เพียงตัวเดียวหรือหลายตัว สะท้อนให้เห็นถึงการตั้งชื่อพวกมัน หมาสืบทอดจากหมาป่าและหมาธรรมดาสามารถผสมข้ามพันธุ์กับหมาป่าได้ด้วย
ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับหมานั้นถูกฝังลึกในด้านโบราณคดีและหลักฐานที่ตรงกันชี้ให้เห็นช่วงเวลาของการทำให้หมาเชื่องในยุคหินใหม่ ใกล้ ๆ กับขอบเขตของช่วงเพลสโตซีนและโฮโลซีน ในระหว่าง 17,000 - 14,000 ปีมาแล้ว ซากกระดูกฟอสซิลและการวิเคราะห์ยีนของหมาในยุคอดีตกับปัจจุบัน และประชากรหมาป่ายังไม่ถูกค้นพบ หมาทั้งหมดสืบอายุอาจเกิดจากเหตุการณ์ที่ทำให้เชื่องด้วยตัวเองหรือไม่ก็ได้ถูกทำให้เชื่องด้วยตัวมันเองในพื้นที่มากกว่าหนึ่งพื้นที่ หมาที่ถูกเลี้ยงให้เชื่องแล้วอาจจะผสมข้ามพันธุ์กับประชากรหมาป่าที่อยู่ในถิ่นนั้น ๆ ในหลาย ๆ โอกาส กระบวนการนี้รู้จักในทางทางพันธุศาสตร์ว่า อินโทรเกรสชัน(Introgression)
ในยุคแรก ๆ ฟอสซิลหมา กะโหลก 2 จากรัสเซียและขากรรไกรล่างจากเยอรมนี พบเมื่อ 13,000 ถึง 17,000 ปีมาแล้ว บรรพบุรุษของมันเป็นหมาป่าโฮลาร์กติก (Canis lupus lupus) ซากศพของหมาตัวเล็กจากถ้ำของสมัยวัฒนธรรมนาทูเฟียนของยุคหินได้ถูกเก็บไว้ในแถบตะวันออกกลาง มีอายุราว 12,000 ปีมาแล้ว เข้าใจว่าเป็นทายาทมาจากหมาป่าในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภาพศิลปะบนหินและซากกระดูกชี้ให้เห็นว่า เป็นเวลากว่า 14,000 ปีมาแล้วที่หมาในที่นี้กำเนิดจากแอฟริกาเหนือข้ามยูเรเชียไปถึงอเมริกาเหนือ หลุมฝังศพหมาที่สุสานยุคหินของเมืองสแวร์ดบอร์กในประเทศเดนมาร์กทำให้นึกไปถึงในยุคยุโรปโบราณว่าหมามีค่าเป็นถึงเพื่อนร่วมทางของมนุษย์
การวิเคราะห์ทางยีนได้ให้ผลลัพธ์ที่ออกมาไม่เหมือนกันมาจนถึงทุกวันนี้ วิล่า ซาโวไลเนน และเพื่อนร่วมงาน พ.ศ. 2540 สรุปว่าบรรพบุรุษของหมาได้แยกออกจากหมาป่าชนิดอื่น ๆ มาเป็นเวลาระหว่าง 75,000 ถึง 135,000 ปีมาแล้ว เมื่อผลการวิเคราะห์ที่ตามมาโดยซาโวไลเนน พ.ศ. 2545 ชี้ให้เห็น เผ่าพันธุ์ดั้งเดิมจากกลุ่มยีนสำหรับประชากรหมาทั้งหมด ระหว่าง 40,000 ถึง 15,000 ปีมาแล้ว ในเอเชียตะวันออก เวอร์จีเนลลี่ พ.ศ. 2548 แนะนำว่าอย่างไรก็ดี ช่วงเวลาของทั้งคู่จะต้องถูกประเมินผลอีกครั้งในการค้นพบเมื่อเร็ว ๆ นี้แสดงให้เห็นว่า นาฬิกาโมเลกุลแบบเก่าที่ใช้วัดเวลานั้นได้กะเวลายุคสมัยของเหตุการณ์ทางธรณีวิทยาเกินความจริง โดยในความจริง และในการเห็นพ้องกันว่าด้วยเรื่องหลักฐานทางโบราณคดี เป็นเวลาเพียง 15,000 ปีเท่านั้นที่ควรจะเป็นช่วงชีวิตสำหรับความหลากหลายของของหมาป่า


สหภาพโซเวียตเคยพยายามนำหมาจิ้งจอกมาเลี้ยงให้เชื่อง เช่นในหมาจิ้งจอกเงิน และสามารถนำมันมาเลี้ยงได้เพียงแค่ 9 ชั่วอายุของมันหรือน้อยกว่าอายุขัยของมนุษย์ นี่ยังเป็นผลในการเปลี่ยนแปลงด้านอื่น เช่น สี ที่จะกลายเป็นสีดำ สีขาว หรือสีดำปนขาว พวกมันได้พัฒนาความสามารถในการขยายพันธุ์ตลอดปี หางที่โค้งงอมากขึ้น และหูที่ดูเหี่ยวย่นเหมือน อวัยวะเพศชาย
เเหล่งที่มา https://th.m.wikipedia.org/wiki/หมา

กายวิภาคศาสตร์ของสุนัข

                        กายวิภาคศาสตร์ของสุนัข


แก้ไข

หมาถูกคัดเลือกผสมพันธุ์มาเป็นเวลาพันปีเพื่อให้มีพฤติกรรมหลากหลาย การรับรู้ความรู้สึก และลักษณะทางกายภาพที่แตกต่างกัน[3] หมาสายพันธุ์ต่าง ๆ ในสมัยใหม่มีขนาด รูปร่าง และพฤติกรรมหลากหลายกว่าสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น[3] หมาเป็นทั้งนักล่าและสัตว์กินซาก และมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง กระดูกข้อเท้าเชื่อมกัน และระบบหมุนเวียนเลือดที่ช่วยในการวิ่งและความอดทน และมีฟันที่ใช้จับและฉีกให้ขาด เช่นเดียวกับสัตว์นักล่าที่เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่น

ขนาดและส่วนสูงแก้ไข

หมามีขนาดและน้ำหนักแตกต่างกัน หมาตัวเล็กที่สุดที่รู้จักกันคือหมาพันธุ์ยอร์กเชอร์เทร์เรียร์ เมื่อยืนอยู่จะสูง 6.3 เซนติเมตร ยาว 9.5 เซนติเมตร ตลอดทั้งหัวและลำตัว และหนัก 113 กรัม หมาตัวใหญ่ที่สุดที่รู้จักคือหมาพันธุ์อิงลิชมาสติฟ หนัก 177.6 กิโลกรัม และความยาวจากจมูกถึงหาง 250 เซนติเมตร[9] หมาที่สูงที่สุดคือหมาพันธุ์เกรตเดนเมื่อยืนอยู่สูง 195.7 เซนติเมตร[10]

ประสาทสัมผัสแก้ไข

ประสาทสัมผัสของหมา ได้แก่ การมองเห็น การได้ยิน การดมกลิ่น การรับรู้รสชาติ การสัมผัสและการตอบสนองไวต่อสนามแม่เหล็กของโลก

หางแก้ไข

หมามีหางหลายรูปร่าง ได้แก่ ตรง ตรงตั้งขึ้น โค้งคล้ายเคียว ม้วนเป็นวง หรือหมุนเป็นเกลียว หน้าที่หลักของหางหมาคือสื่อสารอารมณ์ของมัน เป็นสิ่งสำคัญกับการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ในหมานักล่าบางตัวถูกกุดหางเพื่อป้องกันการบาดเจ็บ[11] หมาบางสายพันธุ์ เช่น Braque du Bourbonnais ลูกหมาอาจเกิดมามีหางสั้นหรือไม่มีหางเลยก็ได้[12]

สุขภาพ🐶แก้ไข

พืชที่ปลูกตามบ้านเรือนหลายชนิดเป็นพิษกับร่างกายของหมา เช่น ต้นคริสต์มาส🎄 เบโกเนียและว่านหางจระเข้[13]
หมาบางสายพันธุ์มีแนวโน้มเจ็บป่วยเป็นโรคบางโรค เช่น ศอกและสะโพกเจริญผิดปกติ ตาบอด หูหนวก หลอดเลือดแดงตีบ ปากแหว่งเพดานโหว่และกระดูกสะบ้าเคลื่อน
แหล่งที่มา https://th.m.wikipedia.org/wiki/หมา

สติปัญญาและพฤติกรรมของสุนัข

                   สติปัญญาและพฤติกรรมของสุนัข

หมาแต่ละตัวและแต่ละสายพันธุ์ มีสัญชาตญาณของตนเอง นับตั้งแต่เริ่มกระบวนการเปลี่ยนแปลง จากหมาป่ามาเป็นหมาเลี้ยง ได้มีการคัดเลือกและพัฒนาสายพันธุ์หมาสืบทอดกันมามากกว่า 4,000 ชั่วอายุ ทำให้ลักษณะร่างกายของหมาหลายสายพันธุ์ เปลี่ยนแปลงไปจากบรรพบุรุษของพวกมันอย่างมาก แต่หมาแต่ละสายพันธุ์ยังคงรักษาลักษณะพฤติกรรมของหมาป่าที่มันเคยเป็นไว้ได้ไม่มากก็น้อย ทั้งหมาป่าและหมาเลี้ยงมีวิธีสื่อสารโดยการเห่า การใช้ภาษากาย และสัญชาตญาณในการรวมกลุ่ม ทั้งนี้หมามีพฤติกรรมให้การสร้างอาณาเขตของมัน เช่น การฉี่รดตาม😂ที่ต่าง ๆ เพื่อบอกว่าตรงนี้เป็นเจ้าของ และการเดินเป็นวงกลมก่อนนอนเพื่อกระจายกลิ่นตัวไปรอบ ๆ และกำหนดอาณาเขตไม่ให้สัตว์ตัวอื่นเข้ามารบกวน

แหล่งที่มาhttps://th.m.wikipedia.org/wiki/หมา

ลักษณะทางกายวิภาคของลิ้นสุนัข

                 ลักษณะทางกายวิภาคของลิ้นสุนัข



ลักษณะทางกายวิภาคของลิ้นสุนัข
ลิ้นของสุนัขทำได้หลายอย่าง ทั้งยื่นไปแตะสิ่งของ กินน้ำ เลียแผล เอาอาหารเข้าปาก รับรสและสัมผัส และเป็นการเชคแฮนด์แบบเปียก ๆ ในแบบของสุนัข ลิ้นเป็นส่วนที่มีหน้าที่เยอะมากกว่าอวัยวะอื่น ๆ ยกเว้นสมอง และที่น่าแปลกใจคือนอกจากมีหน้าที่และการทำงานที่หลากหลาย ยังเป็นอวัยวะที่มีการซ่อมแซมน้อยที่สุดในร่างกาย
เรามาดูโครงสร้างเฉพาะกันว่าเราจะพบอะไรบ้าง
จากรูปถ่ายต่อเนื่องของสุนัขจากแหล่งที่รู้จัก เราได้พบภาพสุนัขพันธุ์ลาบราดอร์สีดำขณะกำลังพักผ่อน และเมื่อนำภาพต่อเนื่องมาเรียงต่อกันเราสังเกตุเห็นว่าลิ้นของสุนัขห้อยยาวทิ้งตัวออกมาจากปากกท่ามกลางสายลมที่พัดไปมา
รูปเกือบทุกรูปแสดงให้เห็นว่าสุนัขมักจะอ้าปากกว้างและยื่นลิ้นออกมาเต็มที่ เปิดทางเดินหายใจให้รับอากาศได้อย่างเต็มที่ หลังจากดูรูปเหล่านี้แล้วทำให้คิดได้ว่าที่โรงพยาบาลสัตว์เราจะไม่ค่อยได้เห็นปัญหาเกี่ยวกับลิ้นนอกจากการได้รับบาดเจ็บไม่กี่ครั้ง
ลิ้นเป็นกล้ามเนื้อที่มีเส้นเลือดมาเลี้ยง เนื่องจากสุนัขมักจะแลบลิ้นตลอดเวลา ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดการบาดเจ็บจึงเกิดขึ้นได้ แต่จากประสบการณ์การทำงานของผู้เขียนตลอด 25 ปีในพื้นที่ที่มีสุนัขล่าเนื้อเป็นจำนวนมาก ปัญหาเกี่ยวกับลิ้นจึงสามารถพบได้บ้าง
นอกจากนี้มีหลายครั้งที่ผู้เขียนได้รับโทรศัพท์จากเจ้าของสุนัขล่าเนื้อที่ต้องการจะพาสุนัขมาโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนเนื่องจากมีเลือดไหลออกจากปากเป็นจำวนมาก เมื่อมาถึงโรงพยาบาลสัตวแพทย์คิดว่าคงจะต้องทำการผ่าตัดใหญ่ แต่เมื่อมาถึงมักจะพบว่าเลือดหยุดไหลเองแล้วและเจ้าของก็ขอโทษที่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เมื่อทำการตรวจช่องปากมักพบว่าแผลที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะตำแหน่งเดียวหรือหลายตำแหน่งมีเลือดที่แข็งตัวมาอุดบริเวณปากแผลเรียบร้อยแล้ว
สิ่งที่แนะนำกับเจ้าของมีเพียง “วันนี้พยายามให้สุนัขอยู่นิ่งก่อน แล้วค่อยปล่อยไปวิ่งเล่นพรุ่งนี้”
สิ่งที่เกิดขึ้นขณะลิ้นได้รับบาดเจ็ฐ ไม่ว่าจะเกิดจากการฉีกขาดหรือกัดโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือถูกของมีคม ลิ้นจะจะขยายตัวและเส้นเลือด
ขณะสุนัขกำลังออกกำลังกายลิ้นจะเป็นตัวช่วยระบายความร้อน เนื่องจากลิ้นมีเส้นเลือดมาเลี้ยงเป็นจำนวนมาก เมื่อเส้นเลือดเหล่านี้ขยายตัวจะทำให้ลิ้นบวมและยืดออก ในช่วงเวลานี้เพียงแค่การถูกแทงเกิดเป็นแผลขนาดเล็กก็ทำให้เลือดจำนวนมากไหลออกมา และแน่นอนว่าถ้าเป็นแผลที่บาดลึกเลือดจะต้องไหลทะลักออกมาจนดูน่ากลัว
เมื่อเจ้าของเห็นเลือดปริมาณมากเลอะไปทั่วจะหยุดทำกิจกรรม เมื่อสุนัขเย็นลง เส้นเลือดที่เคยขยายขณะออกกำลังกายจะหดตัวลงและกลับสู่สภาวะปกติ ลิ้นจะหดตัวลงกลับมาอยู่ในขนาดปกติ เป็นสภาวะที่เหมาะสมสำหรับการแข็งตัวของเลือดบริเวณบาดแผล
ดังนั้นหากคุณพบว่าลิ้นของสุนัขได้รับบาดเจ็บและมีเลือดออกมาก สิ่งแรกที่ต้องทำคือหยุดทำกิจกรรมทุกอย่าง พยายามลดอุณหภูมิร่างกายของสุนัข เช่น ให้ลงแช่ในน้ำเป็นเวลาสั้น ๆ และให้ดื่มน้ำเย็นประมาณสองสามวินาที พาไปพบสัตวแพทย์หากสังเหตุเห็นว่าเลือดยังไม่หยุดดี และอย่าให้สุนัขดื่มน้ำต่อหากเลือดยังไม่หยุดหรือเพิ่งหยุดใหม่ ๆ
การกินน้ำของสุนัขจะต้องใช้ลิ้นตะวัดน้ำ ซึ่งจะทำให้การแข็งตัวของเลือดช้าลง บางครั้งอาจจำเป็นต้องใช้ยาสลบและการผ่าตัดเย็บแผล การผ่าตัดจำเป็นจะต้องมีการอดอาหารเพื่อลดความเสี่ยงในการอาเจียนขณะวางยาสลบ
การตรวจลิ้น
ลิ้นเป็นอวัยวะที่เกิดจากกล้ามเนื้อยืดออกมาและส่วนบนปกคลุมด้วยเนื้อเยื่อผิวพิเศษ หน้าที่ของลิ้น ได้แก่ การตอบสนองต่อรสชาติ การสัมผัส ความเจ็บปวด และช่วยระบายความร้อน
ในช่วงที่ผู้เขียนเริ่มศึกษาเกี่ยวกับหัวข้อนี้ ได้มีการตั้งคำถามกับตัวเองและจำได้ว่ามีเพียงกล้ามเนื้อสามกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับลิ้น แต่ในหนังสือกายวิภาคระบุว่ามีกล้ามเนื้อไม่น้อยกว่าแปดคู่ที่ทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของลิ้น ชื่อของกล้ามเนื้อเหล่านี้มาจากภาษาลาติน เช่น genioglossus, hyoepiglottisและ sternohyiodeus
ส่วนที่ยึดลิ้นกับกรามล่าง เรียกว่า frenulum
และสิ่งที่คนไม่มีแต่สุนัขมี ลองใช้มือสัมผัสใต้ลิ้นของสุนัข ไล่จากปลายลิ้นไปยังส่วนท้ายบริเวณกึ่งกลางของลิ้น จะพบกระดูกอ่อนที่มีโครงสร้างคล้ายกระดูก เรียกว่า lyssa จนถึงทุกวันนี้ยังไม่มีใครสามารถหาคำตอบได้ว่า lyssaมีไว้เพืออะไร
การรับรสชาติ : สิ่งที่ทำให้สุนัขวิ่งเข้าหาขยะเน่าและหนีจากรสชาติของขนนก ลิ้นของสุนัขสามารถแยกรสชาติเค็ม หวาน และเปรี้ยวได้ ต่อมรัสรสเปรี้ยวจะอยู่กระจายเท่า ๆ กันบนลิ้น ต่อมรับรสเค็มจะอยู่ขอบด้านข้างและส่วนท้ายของลิ้น ต่อมรับรสหวานจะอยู่ขอบด้านข้างและด้านหน้าของลิ้น ลิ้นของสุนัขถูกออกแบบมาให้สามารถรับรู้รสชาติของน้ำได้โดยใช้เพียงแค่ปลายลิ้นสัมผัส
ปุ่มบนลิ้น(papillae) : ปุ่มบนลิ้นแบ่งออกเป็น 5 แบบปุ่มที่มีลักษณะดูแหลมพบได้ตั้งแต่ส่วนหน้าจนถึงด้านข้างของลิ้น (จะเห็นชัดในสุนัขแรกเกิด) เรียกว่า marginal papillae และปุ่มที่หน้าตาดูตลกที่อยู่ตรงส่วนท้ายของลิ้น เรียกว่า vallate ครั้งต่อไปถ้าเพื่อนของคุณสงสัยคุณก็สามารถบอกเขาได้ว่ามันคืออะไร
อะไรทำให้ลิ้นเปียกอยู่ตลอด : สุนัขทุกตัวมีต่อมน้ำลาย 4 คู่ที่มีท่อระบายน้ำลายมาออกที่ปาก มีต่อมน้ำลายหนึ่งต่อมที่อยู่ใต้ตาด้านล่างของกระดูกแก้ม หนึ่งต่อมอยู่ตรงฐานของกระดูกอ่อนในหู หนึ่งต่อมอยู่ตรงด้านหลังมุมกราม และอีกต่อมมีขนาดเล็กอยู่ด้านหน้าของมุมกราม ต่อมเหล่านี้ผลิตน้ำลายเพื่อทำให้ช่องปากชุ่มชื้นตลอดเวลา โดยน้ำลายมีสองแบบ คือ สารคัดหลั่งเหนียว (mucoid) และสารคัดหลั่งใส (serous) นอกจากนี้ผิวของลิ้นยังเป็นที่อยู่ของต่อมน้ำลายขนาดเล็กมากมายที่หลั่งน้ำลายทั้งสองแบบ เนื่องจากสุนัขมีต่อมเหงื่อน้อย แต่ต่อมน้ำลายจำนวนมากที่มีสามารถทำหน้าที่ระบายความร้อนของร่างกายแทนต่อมเหงื่อ
สีของลิ้น : เคยเห็นลิ้นสุนัขมีสีดำหรือไม่ ? ผู้รู้บางคนมักจะพูดว่าลิ้นของสุนัขที่มีสีดำแปลว่ามีต้นกำเนิดมาจากสายเลือดของสุนัขป่าในตัว เป็นเรื่องที่ไม่จริงสีของลิ้นไม่มีความเกี่ยวข้องกับต้นกำเนิดของสุนัข สุนัขทุกตัวมีสุนัขป่าเป็นบรรพบุรุษ
เม็ดสีสีดำ (เป็นผลจากเม็ดสีที่เรียกว่า เมลานิน) ที่อัดตัวอยู่บนลิ้น เหงือก และริมฝีปากด้านในของสุนัขเป็นเรื่องที่พบได้ตามปกติ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพ ถ้ารอยสีดำไม่ได้ขยายเข้ามาเกินบริเวณของช่องปากที่ไม่ได้มีสีดำ ถ้าคุณสังเกตุเห็นรอยสีดำบริเวณอื่นของร่างกายที่มีลักษณะเป็นก้อนนูนหรือนูนกว่าเนื้อเยื่อรอบ ๆ ควรให้สัตวแพทย์ทำการตรวจเพิ่มเติม เนื่องจากเนื้อที่เปลี่ยนสีไปนี้อาจกลายเป็นเนื้อรายหรือมะเร็งที่เรียกว่า มะเร็งเม็ดสี (melanoma) มะเร็งอีกชนิดที่พบได้บ่อยที่ลิ้นคือมะเร็งที่เรียกว่า squamous cell carcinoma นอกจากนี้ยังมีมะเร็งอีกสองชนิดที่พบได้ที่ลิ้นแต่พบได้น้อยกว่า คือ granular cell tumor และ mast cell tumor มะเร็งเหล่านี้หากพบและได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ จะสามารถรักษาให้หายได้ อย่างไรก็ตามอาจต้องรักษาโดยการผ่าตัดและฉายรังสี
การติดเชื้อ : เนื้อจากมีเลือดมาเลี้ยงที่ลิ้นมาก การติดเชื้อที่ลิ้นจึงพบได้ไม่บ่อย โดยทั่วไปการติดเชื้อมักจะเกิดจากมีสิ่งแปลกปลอม เช่น หญ้าเจ้าชู้ ขนเม่น หนาม หรือเสี้ยนไม้ แต่สิ่งเหล่านี้สามารถจัดการได้โดยการวางยาสลบและเอาออก สำหรับเจ้าของที่ชอบให้สุนัขเล่นแท่งไม้ ควรระวังเนื่องจากแท่งไม้เหล่านี้อาจหลุดออกมาเป็นเสี้ยนและไปติดอยู่ในช่องปากหรือทางเดินอาหารของสุนัข เจ้าของควรหาของเล่นที่มีความปลอดภัยต่อสุนัข
การตรวจช่องปากของสุนัขเป็นประจำเป็นเรื่องที่เจ้าของควรทำ เช่น ทุกเช้าวันเสาร์ก่อนเริ่มทำงานบ้าน คุณอาจโชคดีเจอสิ่งที่น่าสงสัยบางอย่างที่ทำให้คุณต้องขับรถพาเจ้าตูบของคุณไปโรงพยาบาลแทนงานบ้านที่รอคุณอยู่
เส้นประสาทของลิ้น : ลิ้นของสุนัขมีโครงสร้างที่เป็นเอกลักษณ์และทำหน้าที่หลายอย่าง เพื่อจะทำงานทั้งหมดนี้จำเป็นต้องอาศัยเส้นประสาททั้งหมด 5 เส้นที่มาจากสมองโดยตรงผ่านรูเปิดขนาดเล็กบนกระโหลก เส้นประสามเหล่านี้ถูกเรียกว่า เส้นประสาทสมอง (cranial nerve) เนื่องจากไม่ได้ออกมาจากไขสันหลัง แต่มาจากสมองโดยตรง
จำไว้ว่าลิ้นคือพระราชา สิ่งอื่น ๆ ในช่องปากเป็นเพียงแค่ผู้ช่วย ควรจะดูแลลิ้นอย่างใกล้ชิด สังเกตุแผลหลุม รอยฟกช้ำ หรือเลือดออกบริเวณลิ้น เหลือง หรือเพดานปาก ตรวจหาฟันที่แตกเสียหายหรือตุ่มก้อนต่าง ๆ ในช่องปาก เนื่องจากสิ่งเหล่านี้อาจทำให้ลิ้นระคายเคือง ควรใช้นิ้วคลำไปตามลิ้นทั้งด้านข้าง ด้านบน และด้านล่าง รวมถึงใต้ลิ้น
แหล่งที่มา https://www.honestdocs.co/anatomy-dog-tongue

ประวัติสุนัข

                                    ประวัติสุนัข


หมา หรือคำสุภาพว่า สุนัข (ชื่อวิทยาศาสตร์: Canis lupus familiaris หรือ Canis familiaris)[2]เป็นสัตว์มีเขี้ยวชนิดเชื่องทีถูกคัดเลือกผสมพันธุ์มาเป็นเวลาพันปีจนมีพฤติกรรม การรับรู้ทางประสาทสัมผัส และลักษณะทางกายภาพที่หลากหลาย[3]
แม้ว่าเดิมทีจะคิดกันว่าหมามีต้นกำเนิดจากสายพันธุ์สัตว์มีเขี้ยวที่หลากหลาย (บ้างมองว่าเป็นหมาใน[4] หมาจิ้งจอกทอง[5] และหมาป่า[6]) มีการศึกษาทางพันธุศาสตร์เพิ่มเติมในคริสต์ทศวรรษ 2010 ชี้ว่าหมาเริ่มแตกต่างจากสัตว์มีเขี้ยวคล้ายหมาป่าในยูเรเชียเมื่อ 40,000 ปีที่แล้ว[7]เนื่องจากเป็นสัตว์เชื่องที่เก่าแก่ที่สุด การอยู่ร่วมกับมนุษย์มาเป็นเวลานานทำให้หมามีพฤติกรรมที่ปรับเข้ากับมนุษย์ได้ดี รวมถึงสามารถเติบโตได้โดยกินอาหารประเภทแป้งซึ่งอาจไม่เพียงพอต่อสัตว์


Coat types 3.jpg

แหล่งที่มา https://th.m.wikipedia.org

ที่อยู่ของลูกสุนัข

                                   ที่อยู่ของลูกสุนัข


ลูกสุนัขต้องการที่อยู่ที่เป็นส่วนตัว หากล่องหรือที่นอนสำหรับสุนัขไว้ในคอกที่อบอุ่นและมีมุมที่ไม่มีลมโกรก (กรงสุนัขที่ใช้ในเวลาการเดินทางจะได้เปรียบ เพราะสามารถนำมาใช้ได้ตลอดอายุขัยของเขา ถ้าจะซื้อมาใช้ ต้องให้มีขนาดใหญ่พอเมื่อเขาโตเต็มที่) เขาจะใช้กรงเป็นสถานที่พักผ่อนนอนหลับและรู้สึกปลอดภัยและอุ่นใจ เอากล่องกระดาษหรือกล่องไม้วางด้านข้างลงทำเป็นเตียงนอนที่มิดชิด เขาก็จะยิ่งรู้สึกปลอดภัย เหตุผลก็คือว่า บรรพบุรุษซึ่งคล้ายกับหมาป่าของเขาเคยอาศัยถ้ำเป็นบ้านพัก โดยสัญชาตญาณลูกสุนัขก็จะรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยในที่ที่คล้ายกับถ้ำ อาจจะปูพื้นด้วยผ้าเช็ดตัว หรือผ้าห่มเก่าๆที่อยู่ของเขาก็จะสมบูรณ์แบบ เมื่อเขาอยู่ในที่ของเขา อย่าได้รบกวนหรือดึงตัวเขาออกมา ควรให้เขาออกมาเองอย่าให้เด็กๆ รบกวนหรือเย้าแหย่เขาเล่น เขาต้องการความรู้สึกปลอดภัยถ้าเขาอยู่ในที่ของเขา อย่ากักขังเขาในกรงเป็นเวลานานๆ ถ้าเขาทำอะไรผิดก็อย่าได้ไล่เขาเข้าไปในกรง การทำอย่างนั้นจะทำให้เขารู้สึกว่ามันเป็นที่ทำโทษเขา แทนที่จะเป็นสถานที่พักที่มีความสุขสบาย คุณควรจะรู้สึกสบายใจที่ลูกสุนัขมีที่ของตัวเอง เขาจะไปงีบหรือขดตัวนอนอย่างมีความสุขตลอดคืน โดยไม่เห่าหรือร้องคราง และคุณก็รู้ว่าเขาจะไม่ก่อความเดือดร้อนให้แม้คุณจะไม่คอยเฝ้าดูเขาก็ตาม
การฝึกในบ้าน

ควรฝึกลูกสุนัขโดยทันที เริ่มจากการให้อาหารลูกสุนัขเป็นเวลาและพาออกไปเที่ยวนอกบ้านบ่อยๆ ถ้าหากคุณเลี้ยงลูกสุนัขของคุณด้วยอาหารของลูกสุนัขของยูคานูบาหรืออามส์สำหรับลูกสุนัข จะพบว่าเวลาในการฝึกจะสั้นลงเนื่องจากการให้อาหารและการขับถ่ายจะเป็นกิจวัตรจะมีสิ่งบอกเหตุซึ่งคุณคุณต้องคอยสังเกตว่า ถึงเวลาที่จะต้องนำลูกสุนัขออกไปนอกบ้าน ในกรณีที่ลูกสุนัขเดินไปตามพื้นเป็นรูปวงกลม นั่งหรือร้องครางอยู่ที่ประตู หรือถ้าคุณมองเห็นสุนัขของคุณมองคุณด้วยสายตาวิงวอน และกระวนกระวาย นั่นแสดงว่าเป็นเวลาที่คุณควรจะนำเขาออกไปข้างนอกหลังจากที่ลูกสุนัขปัสสาวะเสร็จ ให้ชมเขาอย่างเงียบๆ แล้วนำเขาเข้ามาในบ้านในไม่ช้าเขาก็จะเชื่อมโยงการปัสสาวะนอกบ้านกับคำชมเชยของคุณ

เมื่อไหร่ถึงจะพาลูกสุนัขออกไปนอกบ้าน - หลังจากพระอาทิตย์ขึ้นเพียงเล็กน้อย สำหรับลูกสุนัขส่วนใหญ่ - หลังจากการงีบของเขา - หลังจากกลับบ้านมาหาเขา ซึ่งปล่อยให้อยู่โดยลำพัง - หลังอาหารโดยทันที - หลังจากที่คุณจะพักผ่อน เมือไรก็ตามที่ลูกสุนัขจ้องมองคุณ

แล้วเขาก็กระตือรือร้นที่จะเอาใจคุณ บางครั้งอาจจะพบว่ามีการขับถ่ายเลอะเทอะ คุณก็ไม่ควรขึ้นเสียงหรือตบตีเขาหรือจับเขาดมสิ่งที่เขาขับถ่ายออกมา ในขณะที่เขาอาจจะหมอบคุดคู้ด้วยความหวาดกลัว เขายังเล็กเกินไปที่จะโดนการดุว่าในเรื่องการขับถ่ายที่เลอะเทอะ ถ้าคุณพบเขากำลังถ่ายอยู่ ก็จงรีบนำเขาออกไปนอกบ้านเพื่อให้เขาขับถ่ายจนสุดแล้ว ให้กล่าวชมในความพยายามของเขา การทำความสะอาดสิ่งขับถ่ายที่เลอะเทอะ สารดับกลิ่นและสารขับไล่แมลงจะช่วยได้มาก อย่าใช้สารทำความสะอาดที่มีแอมโมเนียเป็นส่วนผสม แม้ว่าในทางเคมีแอมโมเนียและยูรีน จะมีส่วนคล้ายคลึงกันเมื่อทำความสะอาด ควรจะต้องให้แห้งสนิท หาไม่แล้วลูกสุนัขของคุณจะกลับมาสูดดมกลิ่นที่ทำให้เลอะเทอะและอาจจะถูกกระตุ้นให้ทำความเลอะเทอะอีก

แหล่งที่มา https://th.m.wikibooks.org/wiki/การเลี้ยงสุนัข

ปัญหาพฤติกรรมในลูกสุนัข

                         ปัญหาพฤติกรรมในลูกสุนัข


ปัญหาพฤติกรรมในลูกสุนัข

ปัญหาพฤติกรรมในลูกสุนัข

พฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนาในสุนัขช่วงอายุระหว่างวัยเด็กจนถึงวัยรุ่น ได้แก่ การกัดข้าวของเสียหาย ชอบกัดเล่นสิ่งต่างๆ หรือการที่สุนัขชอบกระโดดพุ่งใส่ผู้คน โดยพฤติกรรมเหล่านี้จะจัดว่าเป็นพฤติกรรมปกติในช่วงวัยเด็กแต่ผู้คนทั่วไปมักจะไม่ชอบใจกับพฤติกรรมเหล่านี้ เพราะฉะนั้นถ้าหากพบเจอพฤติกรรมเหล่านี้เร็วมากเท่าใดก็จะยิ่งดีเพราะจะได้ทำการวางแผนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ทันในช่วงที่สุนัขยังสามารถสอนได้ง่าย
พันธุกรรมจัดเป็นสาเหตุสำคัญสาเหตุหนึ่ง โดยพฤติกรรมที่ลูกสุนัขแสดงจะมีความคล้ายคลึงกับพ่อแม่ ซึ่งแต่ละสายพันธุ์ก็จะมีการถ่ายทอดพฤติกรรมที่เฉพาะแก่สายพันธุ์นั้น เช่น ความดื้อ หรือ ปัญหาเวลาทำกิจกรรมในสายพันธุ์ที่ใช้แรงงาน แต่อย่างไรก็ตามปัญหาพฤติกรรมส่วนมากนั้นมักจะพบในสุนัขที่เลี้ยงในเมือง เนื่องจากโอกาสในการพาออกมาออกกำลังกายข้างนอกบ้านนั้นค่อนข้างถูกจำกัด

อาการและประเภท

  • การกัดข้าวของเสียหาย
เริ่มแรกสุนัขจะเริ่มจากการกัดเฟอร์นิเจอร์หรืออุปกรณ์ต่างๆภายในบ้านต่อหน้าสมาชิกในบ้าน แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่โดนจับได้หรือว่าโดนทำโทษ สุนัขจะเริ่มแอบทำลายข้าวของลับหลังในขณะที่สมาชิกในบ้านไม่เห็น
  • กัดเล่นกัน
การเล่นปะทะกันของสุนัขจะเริ่มต้นจากสมาชิกในบ้านเป็นคนเริ่มเล่นก่อน แต่หลังจากนั้นสุนัขก็จะเริ่มได้ด้วยตัวของสุนัขเอง ซึ่งการเล่นแบบนั้นถือว่าเป็นปัญหาพฤติกรรมเนื่องจากฟันน้ำนมของลูกสุนัขนั้นมีความแหลมคมมากซึ่งอาจทำให้เกิดบาดแผลขณะเล่นได้ บางครั้งอาจจะพบว่ามีการขู่ หรือเห่า แต่การขู่และเห่านี้จะแตกต่างกับเวลาที่สุนัขแสดงออกว่ากลัวหรือมีความก้าวร้าว
  • กระโดดพุ่งเข้าหาผู้คน
การกระโดดเข้าหาคนหรือการวางฝ่าเท้านั้นจัดเป็นพฤติกรรมการทักทายเมื่อสุนัขมีความตื่นเต้น แต่ก็สามารถพบได้ในลูกสุนัขที่ต้องการความสนใจหรือต้องการสิ่งของที่อยู่ในมือของเจ้าของ
  • กระโดดขึ้นบนเฟอร์นิเจอร์หรือชั้นวางของ
ลูกสุนัขที่กระโดดขึ้นบนเฟอร์นิเจอร์หรือชั้นวางของนั้นส่วนมากต้องการที่จะได้ของกินหรือของเล่นเพื่อเอามาเคี้ยวเล่น แต่ในบางครั้งอาจจะกระโดดขึ้นในขณะที่เล่น เพื่อต้องการความสนใจ หรือต้องการพักผ่อน

สาเหตุ

ปัญหาพฤติกรรมในลูกสุนัขนั้นถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างปกติในลูกสุนัข แต่บางสาเหตุอาจส่งผลทำให้เกิดพฤติกรรมที่แย่ขึ้น โดยสาเหตุส่วนมากเกิดมาจากการขาดความเอาใจใส่ ควบคุม ฝึกฝน หรือ การออกกำลังกาย ซึ่งปัจจัยเฉพาะที่มีผลต่อพฤติกรรมที่กล่าวมามีดังนี้
การกัดทำลายข้าวของ
  • สารอาหารไม่เหมาะสม หรือปริมาณอาหารที่ได้รับไม่เพียงพอ
  • มีหนูหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กชนิดอื่นอยู่ตามผนังหรือพื้น
  • มีเศษอาหารตกหล่นอยู่บนพรมหรือเฟอร์นิเจอร์
  • ขาดแคลนของเล่นหรือของเล่นไม่น่าสนใจ
  • พบว่าสุนัขมีพฤติกรรมการหนี
การเล่นกัดกัน
  • มีการหยอกล้อเล่นกัน เช่น มีการสนับสนุนให้ลูกสุนัขกัด
  • มีช่วงเวลาการคุมขังที่นานเกินไป โดยเฉพาะในกรงที่มีขนาดเล็ก
  • ลูกสุนัขมีการทักทายที่ตื่นเต้นมากเมื่อมีแขกมาที่บ้านหรือกับสมาชิกในครอบครัว
กระโดดขึ้นบนเฟอร์นิเจอร์หรือชั้นวางของ
  • ขาดแคลนของเล่นหรือของเล่นไม่น่าสนใจ
  • มีความต้องการอาหารหรือสิ่งของที่อยู่บนเฟอร์นิเจอร์
  • มีสถานที่พักผ่อนไม่เพียงพอหรือบริเวณพื้นนอนไม่สบาย

    การวินิจฉัย

    เจ้าของแต่ละท่านควรที่จะเล่าถึงประวัติสุขภาพของสุนัขให้สัตวแพทย์ฟังอย่างละเอียด ซึ่งจะประกอบด้วย อาการเริ่มต้น พบตั้งแต่เมื่อไหร่และมีอาการอย่างไร คำถามส่วนมากที่สัตวแพทย์จะซักถามมักจะเกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมของสุนัข มีสมาชิกในบ้านเพิ่มเข้ามาบ้างไหม ส่วนการตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการ มักจะไม่นิยมทำเว้นแต่ถ้ามีโรคอื่นเกิดแทรกซ้อนขึ้น ณ ขณะนั้น

    การรักษา

    สัตวแพทย์จะมีการพิจารณาถึงวิธีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่มีความหลากหลาย เช่น การให้รางวัลหรือการทำโทษ แต่จะไม่มีการแนะนำให้เจ้าของตี เขย่าต้นคอ ทุบจมูก กลิ้ง หรือบีบริมฝีปากเข้ากับฟันเพื่อหยุดการกัดกัน ซึ่งวิธีการเหล่านี้จะยิ่งทำให้ปัญหาพฤติกรรมที่มีอยู่ยิ่งแย่ลงและอาจกระตุ้นให้เกิดอาการหวาดระแวงและก้าวร้าวได้
    การออกกำลังกายอย่างหนักจะช่วยลูกสุนัขได้มากในสุนัขที่มีปัญหาพฤติกรรมชนิดนี้ อีกทั้งเวลาที่เจ้าของทำการเล่นกับลูกสุนัขเจ้าของควรที่จะทำให้ลูกสุนัขรู้ว่าเจ้าของนั้นเป็นคนควบคุมเขา ถ้าการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไม่ได้ผลอาจจะต้องมีการใช้ยาเข้ามาช่วยในการรักษา

  • คำแนะนำเพิ่มเติมจากสัตวแพทย์

    ทำให้ลูกสุนัขหยุดการกัดทำลายข้าวของ
    • ทำการทดลองให้ของเล่นลูกสุนัขอย่างหลากหลายแล้วหาสิ่งที่ลูกสุนัขสนใจ ซึ่งส่วนมากจะเป็นสิ่งของที่มีอาหารเป็นส่วนประกอบ
    • นำสิ่งของวางไว้ในที่ที่ลูกสุนัขไม่สบายหยิบได้ถึง
    • ปิดประตูกั้นไว้เพื่อไม่ให้ลูกสุนัขเข้ามาในพื้นที่ต้องห้าม
    • ขัดขวางการกัดเคี้ยวด้วยคำสั่ง ไม่
    เล่นกัดกัน
    • ควรให้ลูกสุนัขได้รับการออกกำลังกายอย่างเพียงพอ
    • ใช้ของเล่นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของลูกสุนัขขณะมีการเล่นกัดกัน
    • อาจมีการใช้สายจูงเพื่อบังคับได้
    • หลีกเลี่ยงการเล่นที่กระตุ้นให้สุนัขมีพฤติกรรมการกัด
    • นำลูกสุนัขไปเข้าโรงเรียนสอนลูกสุนัขให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
    • มีการฝึกลูกสุนัขให้นั่งก่อนที่จะให้อาหาร ของเล่น หรือความสนใจ
    • เมินเฉยต่อพฤติกรรมที่เอาแต่ใจของลูกสุนัข เช่น การเห่า การหอน การเอาฝ่าเท้ามาวางเพื่อเรียกร้องความสนใจ
    การกระโดดเข้าหาคน
    • มีการสอนให้สุนัขนั่งตามคำสั่ง
    • หลีกเลี่ยงการเล่นที่กระตุ้นให้สุนัขมีการกระโดด
    • เมื่อสุนัขกระโดดจะต้องเบี่ยงเบนความสนใจของสุนัขโดยการใช้เสียงดังและแหลม
    • สามารถใช้สายจูงเพื่อจับบังคับได้
    กระโดดขึ้นบนเฟอร์นิเจอร์หรือชั้นวางของ
    • ไม่ควรนำอาหารหรือสิ่งของที่ดึงดูดความสนใจของลูกสุนัขวางไว้บนเฟอร์นิเจอร์หรือชั้นวางของ
    • ทำการจำกัดบริเวณลูกสุนัขถ้าหากมีการทำผิด
    • จัดหาของเล่นที่น่าสนใจ และมีผลต่อจิตใจของลูกสุนัข
    • ความเป็นอยู่และการจัดการ

      เจ้าของจำเป็นที่จะต้องติดตามอาการขอลุกสุนัขกับสัตวแพทย์อยู่เป็นประจำเพื่อที่จะได้จัดหาหรือปรับเปลี่ยนโปรแกรมการรักษาให้เหมาะสมกับลูกสุนัข การพยากรณ์โรคส่วนมากมักจะดี เนื่องจากเมื่อลูกสุนัขอายุมากขึ้นพฤติกรรมก็จะลดลง ถ้าหลังจากการที่เรามีการปรับพฤติกรรมลูกสุนัขแล้ว แต่ลูกสุนัขยังคงแสดงพฤติกรรมที่ไม่ดีอยู่ สัตวแพทย์จะแนะนำให้มีการปรับโปรแกรมพฤติกรรมให้มีการฝึกฝนพฤติกรรมที่เข้มงวดมากขึ้น
    • เเหล่งที่มาhttps://www.honestdocs.com

เทคนิคการเลี้ยงร็อตไวเลอร์

                          เทคนิคการเลี้ยงร็อตไวเลอร์ ขึ้นชื่อว่าเป็นพันธุ์ร็อตไวเลอร์ ( Rottweiler) หลายๆ บ้านที่ได้ฟังอาจจะไม่ให้ความน...